มีคนเคยบอกว่าจุดหมายปลายทางเป็นสิ่งสำคัญ
แต่สำหรับฉัน คุณแก้ว เรื่องราวระหว่างทางก็สำคัญไม่แพ้กัน
ในครั้งนี้ คุณแก้วจึงเลือกเดินทางในชั้นธุรกิจ พอ! ปลอม!
เดินทางในชั้นธุรกิจน่ะจริง เรื่องราวระหว่างทางก็สำคัญน่ะก็จริง แต่ที่คุณแก้วเลือกบินบิซอะเพราะสังขาร ใช่ เพราะสังขารและสรีระศาสตร์ของคุณแก้ว
ก่อนหน้านี้ที่เคยบินไปที่ต่างๆ ทั้ง โรม โตเกียว โซล เซี่ยงไฮ้ ลอสแองเจลิส และนิวยอร์ก คุณแก้วก็บินอีโค่ทั้งนั้น ไม่เคยจะคิดเลือกบิซเลย จนกระทั่งการไปนิวยอร์กรอบหลังสุดเมื่อปีใหม่ 2017 คุณแก้วก็ซื้อตั๋วอีโค่เหมือนเดิม ก่อนออกเดินทางก็มีอีเมลจากสายการบินส่งมาว่านี่ๆ มิสแกล๊ส ไอมีโปรโมชั่นอัพเกรดเป็นบิซนะ ยูสนไหม โนค่ะ คุณแก้วโนแคร์โนสน นั่งอีโค่ไป ซึ่งแบบ โอ๊ย ในวัยเลยสามสิบยังแจ๋วนี้ การนั่งเครื่องบินเป็นเวลาเกือบวัน แบบมีคนข้างกายที่ไม่ใช่ผัว ตัวก็ล้นมาเบียด ไม่สิ ตัวคุณแก้วนี่แหละที่ล้นเบาะไปเบียดเขา เข่าก็ต้องคอยยันไม่ให้อีผู้โดยด้านหน้าเอนเบาะลงเยอะ แถมยังต้องหันไปส่งสายตาอาฆาตกับอีผู้โดยเด็กที่กระทุ้งหลังตลอดอีก พอ พอกันที
ขากลับถ้ามีอีเมลโปรมาอีก จะอัพเกรด
และก็มีอีเมลโปรโมชั่นมา แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไปร่วมเดือนในอเมริกา คุณแก้วก็ลืมความเจ็บช้ำใจนั้นเสียสิ้นเลยไม่ซื้อ และแน่นอนว่าก็ทุกข์ทรมานตลอดเส้นทางการบินกับกรุงเทพ
คุณแก้วจึงขออธิษฐานใจวาจา ตั้งชื่อลูกของแม่ว่าดาว โอ๊ยยยยย ตั้งใจไว้เลยว่าทริปนิวยอร์กครั้งต่อไปในปี 2020 จะนั่งบิซแน่นอน
จู่ๆ ปีนี้ 2018 ก็มีนิมิตว่าอยากจะไปแพรแวด (ก. เดินเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมายแบบสวยงาม) ที่ปารีส เข้าไปดูตั๋วโดยเลือกสายการบินเอมิเรตส์ โอเค สามหมื่นนิดๆ พอไหว บินหกชั่วโมง เปลี่ยนเครื่อง แล้วบินต่ออีกหกชั่วโมง แต่เดี๋ยวนะ เอาเลยไหม บิซเลยไหม ไหนดูราคาบิซหน่อย
แสนนึง! คุณดอก!
คุณแก้วคิดอยู่นาน นานแบบนาน ลองมองตั๋วสายการบินอื่นด้วยทั้งอีโค่และบิซ จนสุดท้ายก็สรุปกับหัวใจตัวเองเป็นคำตอบสุดท้ายว่า “บิซเหอะมึง” คือคุยกับตัวเองก็มีหยาบคายบ้างต้องเข้าใจนะคะ เอ๊ะ นี่ตั้งใจเขียนรีวิวที่นั่งชั้นธุรกิจสายการบินเอมิเรตส์ เขียนมาสองวันแล้วยังไม่เข้าเรื่องเลย อะ จะเข้าเรื่องแบบดื้อๆ ละนะ
Ticket Confirmed BKK-CDG Round Trip
ตอนที่ตัดสินใจว่าจะไปบิซแน่ๆ แล้ว ก็ยังมีให้เลือกว่าจะบิซของเอมิหรือจบิซของแม่เอื้องดี ข้อดีของแม่เอื้องคือนางบินตรงเลยไม่ต้องต่อเครื่อง เพียงว่าราคาจะสูงกว่าไปอีกสามสี่หมื่น คิด คิด คิด สุดท้ายเลือกเอมิ เพราะนางมีบริการเสริม แต๊แด่นนนนน เมื่อเลือกบินตั้งแต่บิซชึ้นไปกับเอมิ คุณแก้วจะได้รับบริการรถลีมูซีนรับส่งไปกลับจากบ้านยังสนามบินทั้งสี่ขา แบบฟรี ฟรีในฟรี ทั้งนี้ต้องตรวจสอบระยะทางนะว่าอยู่ในเขตฟรีไหม เช่นจากสุวรรณภูมินางนับออกมาได้อีก 60 กิโลเมตร คุณ จากสุวรรณภูมินี่ 60 โลก็ประมาณพุทธมณฑลสายสามสายสี่ เลิศ ส่วนจาก Charles De Gaulle ก็บริการฟรีไปถึงตัวปารีสและย่านรอบๆ ไม่มีปัญหา จองๆๆๆ ทั้งนี้ ใครที่มีนายมั่นคนรถอยู่แล้ว จะไม่ใช้บริการนี้ เอมิก็ไม่เคือง แต่ก็ไม่ได้มีเงินคืนเด้อ ค่าตั๋วเท่าเดิม
ก่อนวันเดินทางหนึ่งวันก็มีโทรศัพท์จากเอมิไทยมาสอบถามคุณแก้วว่า บินกี่คน กระเป๋ากี่ใบ พร้อมยืนยันเวลานัดหมายตามที่ได้จองไว้ในระบบ ซึ่งเราสามารถเลือกให้เขามาได้หลายช่วงมาก และว่ากันว่าการใช้บริการลีมูซีนจะเหมือนการเช็คอินล่วงหน้ากรายๆ ว่าไปแน่ๆ นะจ๊ะ ต่อให้รถติด เครื่องก็จะรอเรา แต่คุณแก้วก็ไม่ได้ประมาทชะลาล่าใจ เช็คอินออนไลน์เรียบร้อย เครื่องออก 03.30 เรียกรถมารับตั้งแต่เที่ยงคืนสิบห้า
เที่ยงคืนพอดี นาฬิกานางซินยังตีไม่ครบสิบสองครั้ง ก็มีโทรศัพท์เข้ามาแจ้งว่ารถมาถึงแล้วครับ เก๋ คุณแก้วเดินออกไป เจอรถเบนซ์อีคลาสสีบรอนซ์เงินป้ายเขียวจอดอยู่พร้อมคนขับใส่สูทเต็มยศ กระป๋งประเป๋าเขาก็ยกให้หมด คุณแก้วมีหน้าที่แค่เข้าไปนั่งในรถสวยๆ ซึ่งสวยจริงๆ เล่นมือถือไปแป๊บเดียวรถเหวี่ยง เลยเงยหน้ามา อ้าว โค้งเข้าสนามบินแล้ว

รถจอดที่หน้าเกต คนขับยกกระเป๋าขึ้นรถเข็นให้พร้อมกล่าวคำลา คุณแก้วเข็นรถเข้ามา สวยอีกขั้นคือไม่ต้องไปต่อคิวยาวๆ เพราะสามารถตรงไปดรอปกระเป๋าที่ช่องบิซคลาสได้เลย โดยนอกจากจะได้ตั๋วมาแล้ว ได้บัตร Premium Lane มาด้วย
คุณแก้วก็ทำการบ้านมานะ ว่านอกจากไม่ต้องต่อคิวช่วงเช็คอินแล้ว ช่วงตรวจสัมภาระต่างๆ ก็ไม่ต้องต่อเช่นกัน มันจะมีช่องทางพิเศษเลย คุณแก้วก็มองหาอย่างสวยๆ ไม่เจอ ก็เลยจะเดินเข้าทางปกติ แต่พอยื่นตั๋วพร้อมบัตรนี้ เจ้าหน้าที่ก็ผายมือไปว่า ใช้ช่องนั้นได้เลยค่ะ แหมะ คือเห็นแหละ แต่ไม่รู้ว่า Priority Land คือ Premium Lane แหะๆ จุดนี้เดินชิดซ้ายไม่ต้องต่อคิวกับลูกเรือเลยนะคะ เข้าไปแล้วก็ไม่ต้องเลี้ยวงูขดแต่ตรงไปสแกนร่างกายได้เลย ผ่านตลอดจริงๆ

สาเหตุจริงๆ ที่เรียกรถมารับล่วงหน้าสามชั่วโมงไม่ได้กลัวรถติดหรอก คุณแก้วจะมาเลาจน์ เจ้าหน้าที่จะแจ้งตั้งแต่ตอนรับตั๋วว่าต้องไปขึ้นเครื่องที่เกตไหนและเลาจน์อยู่ตรงไหน ซึ่ง คนละโลกมากสำหรับวันนี้ แต่ก็ต้องไปเยือนค่ะ ไปถึงเลาจน์ก็ยื่นตั๋วพร้อมพาสปอร์ต เจ้าหน้าที่ก็ตรวจสอบพร้อมย้ำเกตอีกครั้ง และบอกว่าเดินไกลนะคะประมาณ 15 นาที จะต้องเรียกเร็วหน่อย ถูกต้องค่ะ มานั่งเลานจ์แบบนี้สามารถแหลกเพลินพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย เพราะเมื่อถึงเวลาจะมีการประกาศเรียก

บรรยากาศภายในก็เต็มไปด้วยที่นั่ง ที่นั่ง และที่นั่ง มีโซฟาให้เอนกายได้อย่างสุนทรีย์ แต่ผ่านค่ะผ่าน คุณแก้วหิว คุณแก้วมุ่งตรงไปยังโซนอาหาร ว้าวววววว น้อยกว่าที่คิด คือจินตนาการไว้ว่ามันจะต้องมากมายประหนึ่งโรงแรมห้าดาว แต่คุณคะ คือพอเริ่มแหลกจริงๆ มันก็แหลกไม่ทุกอย่างหรอกเนอะ อาหารมีความหลากหลาย ทั้งไทยและเทศ ทั้งข้าวและขนมปัง ทั้งของคาวและของหวาน เครื่องดื่มก็จัดเต็มตั้งแต่น้ำเปล่า น้ำผลไม้ ชา กาแฟ ไปยันแอลกอฮอล์มากมายที่คุณแก้วไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง ดูรูปเอานะ และทุกอย่างนี้เติมตลอด ตลอดจริงๆ พวกที่ตักๆ พอเริ่มพร่องสักครึ่งก็จะมีมาเปลี่ยนใหม่ ส่วนพวกที่จัดเป็นสำรับเล็กๆ ให้หยิบ พอมีคนหยิบ แป๊บเดียวก็จะมีสำรับใหม่มาวาง ชื่นชม
แหลกไปจนจุใจจุอารมณ์ ก็อยากจะเข้าห้องน้ำสักหน่อย โอ๊ว ลืมสัมผัสความลุ้นของห้องน้ำว่าจะเปียกหรือแห้งได้เลย เพราะห้องน้ำที่นี่แห้ง สะอาด กว้างขวาง และไม่ได้มีแค่ห้องสุขาเท่านั้น ยังมีห้องชำระล้าง และห้องอาบน้ำ อาบได้จริงๆ กันไปเลย ดีงาม รอบนี้ยังไม่อาบเพราะตัวหอมมาแล้ว ลุ้นรอบต่อไปนะ
ใกล้เวลาขึ้นเครื่อง เนื่องจากต้องเดินไกล ไม่อยากรีบ คุณแก้วก็เลยออกจากเลาจน์มาตั้งแต่ยังไม่ประกาศ เดินไปถึงเกตก็ใกล้เปิดพอดี และใช่แล้ว พอเปิด คุณแก้วก็ได้ขึ้นเครื่องเลยไม่ต้องรอคิว จริงๆ ก็คือมีคิวของผู้โดยเฟิสต์และบิซด้วยกันนิดนึง ผ่านงวงเข้ามาเฟิสต์เลี้ยวซ้ายบิซเลี้ยวขวา
ไฟลท์นี้ EK419 BKK-DXB 03.30-06.55 6hr 25min (เวลาแต่ละอันเป็นเวลาท้องถิ่น คือออกจากไทยตีสามครึ่งเวลาไทย ไปถึงดูไบเกือบเจ็ดโมงเวลาดูไบ) ที่นั่งบิซจะเป็น 1-2-1 โดยสามารถจองที่นั่งได้ล่วงหน้า และควรทำ จะได้ได้นั่งในที่ที่อยากนั่ง คุณแก้วเลือกที่นั่ง 23K ไว้ เพราะเป็นที่นั่งติดหน้าต่างและอยู่หน้าสุด ปกติถ้านั่งอีโค่จะไม่เลือกที่หน้าสุดเพราะเห็นแต่กำแพงมันอึดอัด แต่สำหรับบิซคุณแก้วเชื่อว่ามันต้องมีสเปซมากพอให้รู้สึกสบาย และก็จริงดังว่า

คุณแก้วสบายแล้ว สบายแน่แล้ว เบาะกว้างขวาง บนเบาะก็จะมีหมอน ผ้าห่ม และหูฟังวางอยู่ หน้าจอ มาแบบใหญ่โต กรอบไม้ดูหรูหราหมาเห่า ใต้จอมีช่องให้วางขา ใต้ช่องวางขามีช่องให้วางของ ใต้ช่องว่างของ….ไม่มีละ ด้านขวามีที่สำหรับวางของด้านบนได้ และกดฝาเปิดได้เป็นที่เก็บของสองช่อง ซ้ายมือมีแท่นวางแผลควบคุม มินิบาร์ ที่เสียบยูเอสบีและหูฟัง จอยสติ๊ก ไฟอ่านหนังสือ สวมร่างลงนั่งแล้วแทบจะร้อง อ๊าห์ นี่สิคุณค่าที่คุณแก้วคู่ควร
นั่งเบาะยังไม่ทันยุบ พนักงานต้อนรับก็เดินมาทักทาย แนะนำตัว ตามด้วยยกถาดเครื่องดื่มมาให้เลือก ซึ่งมีน้ำผลไม้ แต่ไม่เลือกสิ คุณแก้วขอรับแชมเปญ ดื่มกรุบกริบ พอเครื่องใกล้ออกพนักงานก็จะมาเก็บแก้วไป พร้อมแจกเมนูอาหารและเมนูเครื่องดื่มให้ได้พิจารณาล่วงหน้า

หันมองทางซ้ายอีกที อุ๊ย ปุ่มปรับเบาะ ซึ่งรอบนี้คุณแก้วก็ลองปรับครบทุกรูปแบบ แต่ลืมถ่ายรูป ไว้ดูรอบหน้านะ
พอเครื่องไต่ระดับได้ที่ พนักงานก็เดินมาสอบถามเมนูว่าคุณแก้วจะรับอะไรบ้าง ซึ่งไม่ได้จะเสิร์ฟทันทีนะ ถามล่วงหน้าไว้ก่อน สักพักก็นำกระเป๋า Travel Kit มาให้ ของ Bvlgari ทีเดียวเชียวนะจ๊ะว่าไป กระเป๋านี้จะมีสองแบบสำหรับคุณสุภาพบุรุษและคุณสุภาพสตรี คล้ายๆ นาฬิกาที่แจกในโลกดนตรีนั่นแหละ
แถมมีเบาะรองนอนมาให้ด้วย ซึ่งทีแรกคุณแก้วก็เขิน ดูแบบเอ๊ะมันจะมากมายไปไหม แต่คนอื่นก็เอาทั้งนั้น คุณแก้วเลยรับด้วย และขอบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกมาก เพราะแม้จะไม่ได้ดูหนา แต่ก็ทำให้นุ่มขึ้นไปอีกประมาณ 0.5624798 เท่า ที่นั่งของคุณแก้วเป็นที่นั่งติดกำแพงก็จะมีแผงนิตยสารด้วย ทีแรกก็กลัวว่าจะมีคนมาหยิบหย่อนหยิบหย่อนจนน่ารำคาญรึเปล่า สรุปว่าตลอดการเดินทางหกชั่วโมงกว่า มีคนมาหยิบคนเดียว ครั้งเดียว
ได้เวลาแห่งความบันเทิง หูฟังสำหรับบิซคลาสก็มาแบบเต็มเหนี่ยวไปเลยพี่เต็มที่ไปเลยเธอ ดีงาม ตัดเสียงรอบนอกได้ดี คุณแก้วเลือกดู Avengers the infinity war แต่ดูหนังก็ต้องมีอะไรกรุบกริบเข้าปากเนอะ เลยเดินไปที่บาร์หลังเครื่อง ในแสงสลัวคุณแก้วหยิบขนมมาสองถุง ถุงแรกแหลกสองคำแล้วพอ เพราะมันคือถั่ววาซาบิ มันฮีนนนนนน คุณแก้วเลยฟาดเอ็มแอนด์เอ็มส์แทน จริงๆ ทั้งหมดก็มีระบุในเมนูนะ ซองก็เขียน ไม่อ่านเอง โดยขนมทั้งหมดรวมทั้งเครื่องดื่มที่บาร์สามารถขอได้ตลอด ขอได้ไม่อั้น เดินไปขอเองก็ได้ กดเรียกพนักงานมาก็ได้ แต่เท่าที่สังเกตจะเห็นแต่คนที่เดินไปสั่งเองที่บาร์ หรือไม่ก็สั่งแล้วนั่งกินที่บาร์เลย มีรูปนะมีรูป รอบต่อไป ส่วนถั่วจานนี้พนักงานเดินมาเสิร์ฟให้เอง คือระหว่างบินก็จะมีเรื่อยๆ ที่พนักงานจะถือโน่นถือนี่มาให้เลือก คนที่ยังตื่นอยู่ก็หยิบได้ตามสะดวก
ถึงเวลาอาหาร คุณแก้วหลับอยู่ พนักงานก็จะสะกิดเบาๆ แต่ก็เอาจนตื่นอะเนอะ แล้วก็ดึงโต๊ะออกมาพร้อมผ้าปูโต๊ะ อาหารเช้ามือนี้คุณแก้วรับเป็น Classic Omelette รสชาติถูกปากในระดับกลางๆ (เอ็มแอนด์เอ็มส์ถูกปากระดับสุด) ชากาแฟเครื่องดื่มต่างๆ ขนมปัง ขอได้เรื่อยๆ ชุดช้อนส้อมมีดมาในเซตที่สวยงาม
ก่อนเครื่องจะลง พนักงานก็เดินแจกบัตรเบ่ง ซึ่งช่วยให้คุณแก้วไม่ต้องต่อแถวตรวจร่างกายเช่นเคย ใช้ช่องต่างหากที่มีเฉพาะผู้โดยเฟิสต์และบิซเท่านั้น ประหยัดเวลาไปได้มากแบบมาก

เที่ยวนี้จอดห่างจากอาคารเลยต้องมีรถมารับ ซึ่งแบบเลิศ มีรถเฉพาะสำหรับผู้โดยเฟิสต์และบิซ นั่งเท่านั้น นั่งเต็มแล้วออกทันที ปรบมือ เข้าถึงอาคารก็ใช้บัตรที่ว่าเพื่อเข้าช่องพิเศษ
และแล้วก็มาถึงภารกิจสำคัญ นั่นคือการเยือนเอมิเรตส์เลาจน์ที่สนามบินดูไบ นี่คือฐานทัพหลักของนางเอง นางต้องไม่พลาด นางต้องใหญ่ นางต้องปัง นางต้องปั๊วะ แล้วก็จริงดังคาด นางปั๊วะตั้งแต่ว่าแยกเป็นสองเลาจน์ ฝั่งแรกสำหรับเฟิสต์ อีกฝั่งเป็นของบิซ ชะตากรรมเราก็เข้าบิซไปก่อนเนอะ แค่เคาน์เตอร์ต้อนรับก็มีพนักงานกว่า 10 คนละ พอก้าวเข้าไปต้องร้อง โอ่โห้ (ร้องตามที่เขียนนะ ไม่ได้ร้อง โอ้โห)
คือ มัน กว้าง มาก ที่นั่งนี่ไม่ต้องนับ มีเป็นหมื่น ไม่ถึง! มีเยอะและมีหลายรูปแบบ ทั้งเดี่ยว คู่ หมู่ หรือแม้แต่ห้องเป็นฉากกั้นพร้อมเบาะยาวให้นอน (ซึ่งเต็ม แบร่) ห้องเด็กเล่นก็มี คุณแก้วก็มุ่งไปเลยค่ะ มุ่งไปหาอาหาร อาหารในเลาจน์นี้ก็จัดเต็มให้ชนิดที่ว่าถ้าเคยผิดหวังเบาๆ กับเลาจน์ประเทศอื่นคุณจะได้สาแก่ใจที่นี่ เพราะแยกเป็นสามซุ้มได้แก่ เอเชีย ตะวันออกกกลางและตะวันตก และของหวาน
สำหรับรอบนี้คุณแก้วเวลาน้อยเลยเลือกเป็นของหวานมา มองหาน้ำดื่มอยู่ประมาณ 5 วินาที จริงหรอวะ จริงแหละ อีขวดนี้แหละใช่แล้ว คือขวดน้ำดื่มสวยงาม นึกว่าแก้วตามร้านกาแฟดัง
ถึงเวลาขึ้นเครื่อง EK073 DXB-CDG 08.20-13.30 7hr 10min รอบนี้งวงช้างเทียบประตูด้านล่างของ A380 เลยได้เดินขึ้นบันไดดวงดาวขึ้นด้านบน ผ่านที่นั่งชั้นหนึ่ง เอ๊ะ ไม่เห็นมีพี่แอมเสาวลักษณ์ ไหนพี่แอมบอกพบฉันที่ชั้นหนึ่ง !!! รอบนี้เลือกที่นั่ง 15K พอเข้านั่งก็รู้สึกทันทีว่ามันไม่เหมือนเดิม มีอะไรเปลี่ยนไปจากไฟลท์ก่อนนี้ มองหา เจอเต็มเลย
อย่างแรกที่เห็นชัดสุดคือ เดิมใต้จอด้านหน้าจะมีช่องวางขา ใต้ช่องวางขามีช่องวางของ แต่อันนี้ใต้จอมีช่องวางขา แล้วจบ กลายเป็นปิดทึบ ศึกษาดูเลยเห็นว่ามีช่องให้เปิดเก็บรองเท้าด้านในได้ ส่วนที่ปิดด้านล่างนั้นสามารถปรับระดับให้เอนขึ้นมาวางเท้าได้ นอกนั้นรายละเอียดอื่นๆ ของสิ่งอำนวยความสะดวกก็ไม่ต่างกันมาก คือมีครบเหมือนกัน แต่เปลี่ยนที่เปลี่ยนทางเล็กน้อย ซึ่งก็ยังใช้งานได้สะดวก
ติดแค่ที่วางของช่องด้านหน้านี่แหละ สุดท้ายคุณแก้วก็ไม่ได้ใส่รองเท้าเข้าช่อง เพราะไม่อยากให้รองเท้าไปอับอยู่ในนั้น 6-7 ชั่วโมง ที่วางเท้าก็ไม่ได้ปรับมาใช้
แหลกรอบแรก เอ็มแอนด์เอ็มส์และขนมปัง เอาน่า ที่อยู่ในท้องมายังแน่นอยู่เลย
รอบนี้ก็ปรับเบาะนั่งนอนครบเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีรูปมาฝาก
รอบนี้ไปถ่ายรูปบาร์ท้ายเครื่องกันเสียหน่อย สำหรับบิซนี้ ท้ายเครื่องจะมีบาร์ที่คุณแก้วสามารถมานั่งเล่นได้ มาขออาหารเครื่องดื่มเพิ่มก็ได้ตามเมนู พนักงานอยู่ประจำตลอด แถมพอจะถ่ายรูป พนักงานยังเชิญให้ไปยืนด้านในเองเลยด้วย เก๋ไก๋สไลดิ้งดอร์
ถึงเวลาแหลกรอบหลัก เป็นเอ็มแอนด์เอ็มส์ และขอไอศกรีมจากพนักงาน มาแบบแข็งมากเพราะคนไม่ค่อยขอกัน ดีงาม ตามด้วยจานธัญพืชเช่นเคย และอาหารมื้อนี้เลือกเป็นซุปมะเขือเทศ อันนี้ดี ชอบ ถูกปาก ของหวานเป็น Cheese Board ก็….ถูกปากบางอัน
ถึงเวลาลงเครื่อง เลยถ่ายรูปมาให้ดูว่าที่นั่งเป็นแบบนี้ทั้งหมด คือ A380 เองก็มีหลายรุ่น ถ้าให้ตอบแบบฟันธง รุ่นไฟลท์แรกดีกว่า
ตรวจคนเข้าเมืองด้วยช่องพิเศษเรียบร้อย กระเป๋าก็ไม่ต้องรอนานนะเพราะเฟิสต์กับบิซกระเป๋าจะมาก่อน เดินเข็นกระเป๋าออกมาก็เจอชายหนุ่มในชุดสูทเต็มยศยืนเรียงแถวหน้ากระดานพร้อมแทปเล็ตที่มีชื่อสายการบินเอมิเรตส์และชื่อผู้โดย คุณแก้วก็เดินหาจนเจอชื่อตัวเอง โชเฟอร์ก็เดินพานำไปที่รถเบนซ์สีดำ มีซันรูฟเก๋ไก๋ แต่ปารีสต้อนรับคุณแก้วด้วยอุณหภูมิ 30 องศาเลยรบกวนคุณโชเฟอร์ปิดโดยไว บนรถมีน้ำดื่มบริการพร้อมไวไฟฟรี นั่งเฉยๆ สวยๆ ดูวิวไปเรื่อยๆ รถก็มาถึงหน้าประตูที่พักอย่างถูกต้องโดยไม่ต้องบอกทางสักคำ …… คือถ้าให้บอกก็คงจะพาเขาหลง

มีตื่นเต้นนิดนึงคือพอลงทางด่วนแล้วลอดอุโมงค์ขึ้นมา เจอแบบเหยยยยยยยยยยย นี่มันที่ที่ถ่ายฉากไล่ล่ามิชชั่นอิมพอสสิเบิ้ลหกใช่ไหม เก๋อะ ตื่นเต้น
แล้วเวลาในปารีสก็ผ่านไป พอจะถึงวันกลับก็มีเรื่องให้ลุ้นนิดหน่อย คือตอนจะบินจากไทยมีเจ้าหน้าที่โทรมาสอบถามและนัดหมายเรื่องรถรับส่ง คุณแก้วก็นอยด์ว่าแล้วรอบนี้เขาจะโทรมายังไงนะเพราะเราไม่ได้เปลี่ยนซิม แต่เบอร์ที่ให้ไว้ในระบบก็เบอร์ไทยนี่แหละ ก่อนเดินทางหนึ่งวันก็มีอีเมลให้เช็คอินออนไลน์ เช็คอินเสร็จคุณแก้วเลยเข้าไปดูเรื่องรถ เจอว่าไม่เจอ คือเจอว่ามีรถจองไว้จากสุวรรณภูมิกลับบ้าน แต่รถจากที่พักในปารีสไปสนามบิน CDG ไม่มี เลยรีบแชตหาเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วบอกว่ามีอยู่เรียบร้อย จะมารับตอน 8.15 คุณแก้วบอกมีอะไรติดต่อทางอีเมลได้นะ แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าตามนโยบายแล้วจะโทรหาเท่านั้น อะ ก็แล้วแต่
จนแล้วจนรอดจนเช้าวันเดินทางก็ไม่มีใครสักคนโทรมา คุณแก้วก็นอยด์นิดๆ เก็บของเรียบร้อยเลยออกไปหน้าบ้านตอน 7.45 บนถนนที่โล่งโปร่งสบาย มีรถเบนซ์สีดำพร้อมคนขับใส่สูทจอดรออยู่แล้ว คิดเอาไว้ว่าใช่ต้องใช่แน่ๆ เมื่อเดินไปทักทายกันเรียบร้อยคุณลุงโชเฟอร์ก็มาช่วยคุณแก้วยกกระเป๋าขึ้นรถ เลยขอให้คุณลุงถ่ายรูปให้หน่อย อยากได้รูปแบบไกลๆ เห็นที่พักทั้งหมด ตั้งเฟรมให้พร้อมบอกถ่ายหลายๆ รูปได้เลยนะ และนี่คือรูปที่ได้
สองรูปถ้วน ลุง!
มาถึงสนามบิน คุณลุงก็ชี้บอกประตูบอกทางดีงาม เช็คอินช่องบิซ เจ้าหน้าที่ก็ให้บัตรสำหรับเข้าช่องตรวจพิเศษ ส่วนใครจะทำ refund ก็ทำได้ด้านซ้ายมือตรงที่มีป้ายส้มๆ เล็กๆ เพ่งหน่อยนะ
เลาจน์เป็นแบบรวมเฟิสต์และบิซ ขนาดพอๆ กับเลาจน์ที่ไทย แต่ความเก๋กว่าคือเลาจน์ที่นี่มองเห็นเครื่องบินเลย อ่อ ลืมเล่าไปว่า เลาจน์ทุกที่จะมี Quiet Zone นะ ดูป้ายกันด้วย แต่เอาจริงๆ คนในเลาจน์ที่ผ่านมาทั้งหมดก็ไม่มีใครเสียงดังอะไร อยู่เบาๆ กินเบาๆ (หมายถึงเสียง ไม่ใช่ปริมาณอาหาร)
คุณแก้วอยู่ในเลาจน์ไม่นาน เพราะก่อนมาเลาจน์ได้เดินไปดูเกตก่อนและพบว่า นาง มี ตู้ เกม พีกกกกกกก ไปเล่นเกมกันค่ะ ตู้เกมนี้ไม่เกี่ยวกับเลาจน์ ไม่เกี่ยวกับบิซกับเฟิสต์ ทุกคนเล่นได้หมด และที่พีกยิ่งกว่าก็คือ นาง ฟรี ไม่ต้องหยอดเหรียญแต่มีปุ่มเครดิตให้กด แล้วเกมนะ โอ๊ยยยยยยย เพื่อนๆ เด็กๆ ที่เล่นกับคุณแก้วจะรู้ไหมนะว่ามันคือเกมในตำนานทั้งนั้นเลย คุณแก้วก็ไม่บันยะบันยังค่ะ จัดหนักจัดเต็มยันเครื่องจะออก
EK072 CDG-DBX 11.25-20.00 6hr 35min ขึ้นเครื่องมาก็ดีใจ เพราะได้เจอที่นั่งแบบไฟลท์แรก คือมีช่องและมีช่อง นั่งสบายกับที่นั่ง 23A แชมเปญมา เมนูมา ผ้าร้อนมา (มีทุกไฟลท์) เอ็มแอนด์เอ็มส์มา ไอติมมา
อาหารเลือกรองท้องด้วย Duck Magrer จานหลักเป็น Pan-Seared Salmon ของหวานช้ำใจนิดนึงเพราะเล็งไว้ว่าจะรับ Chocolate Mille-Feuille กับ Rasberry and Coconut Tart แต่อันแรกหมด มีคนเลือกไปแล้ว เสียใจ ทำไมมารับออเดอร์ที่นั่งคุณแก้วทีหลังอะคะ สะเทือนใจมาก
นอกนั้นบริการอื่นๆ ดีงาม และไม่ลืมที่จะถ่ายเบาะมาให้ชมกัน
เข้าเลาจน์ที่สนามบินดูไบสองทุ่มนิดๆ คนโล่งดีมาก แต่เบาะนอนก็ยังเต็มอยู่ดี ไม่เป็นไร รอบนี้เวลาเยอะตั้งใจอยู่แล้วว่าจะแหลก และคิดถึงข้าวสวยมาก คุณแก้วเลยจัดให้มากสมใจ
EK374 DXB-BKK 22.30-8.00 6hr 30min เดินมาขึ้นเครื่อง เกตเปิดพอดีเลยได้เข้าเป็นคนแรกสุด รอบนี้งวงเทียบชั้นบนประตูหน้าสุด เดินผ่านเฟิสต์ก็ถ่ายมาอีก
เดินถึงบิซดีใจที่ได้ที่เจอเบาะแบบไฟลท์ที่แล้ว ไม่สิ มันคือเบาะเดิมเลย เครื่องเดิมกับที่นั่งมาจากปารีส แน่ใจเบาๆ กับระยะทางของเกตและวิวนอกหน้าต่าง แต่แน่ใจแบบหนักๆ กับช่องแอร์ที่จัดไว้แบบที่คุณแก้วชอบเป๊ะ แหงสิคุณแก้วจัดเองเมื่อไฟลท์ที่แล้ว ถ่ายรูปๆๆๆๆๆๆๆๆ
และครั้งนี้ขอเป็นน้ำแอ๊บเปิ้ลเบาๆ มี Travel Kit แจก (ได้แค่ตอนไฟลท์ไทยไปดูไบ และดูไบไปไทยนี้) อาหารเลือกอาหารเช้าอย่างเดียวเลยกับ Stir-fried Egg Noodles ขอซ้ำความเป็นเอเชีย
ตอนที่อ่านรีวิวก่อนเลือกที่นั่ง มีคนแนะนำว่าให้เลือกโซนหน้าๆ อาจไกลห้องน้ำหน่อยแต่ก็มีข้อดีที่อยู่ไกลบาร์ เสียงจะไม่รบกวน คุณแก้วนั่ง 23 มาสองรอบก็รู้สึกสบายๆ ไม่เดือนร้อนอะไร จนไฟลท์กลับไทยนี่แหละ คุณผู้โดยทั้งหลาย ทั้งหญิงและชาย นางเปิดสมาคมอะไรกั๊นนนนนนนน คุยมันตั้งแต่เครื่องขึ้นยันเครื่องลง ประทับใจมาก แต่ไม่เหวี่ยงๆ เพราะใส่หูฟังครอบหูปุ๊บ จบ โอเค หลับได้ ว่าแต่คุยไรกัน
ลืมเล่าอีกเรื่องไปเลย ก็คือบนเครื่องของเอมิเรตส์ตอนนี้เขามีไวไฟให้ใช้ฟรีนะ ไม่แน่ใจว่าอีโค่ได้จำนวนเท่าไร แต่คุณแก้วนั่งบิซได้แบบไม่จำกัด แต่ก็เป็นไวไฟแบบไม่แรงมากอะเนอะ ถ้ากราฟฟิกก็โหลดนานหน่อย และที่สำคัญบางช่วงกัปตันก็ไม่ปล่อยสัญญาณออกมาก็อดเล่นนาจา
ลงเครื่อง ตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋า รวดเร็วตามเดิม ออกมา อ้าว ไม่เห็นมีใครมารอรับ เลยเข็นกระเป๋าไปอีกทางออกหนึ่ง เจอละ มีเจ้าหน้าที่ถือป้ายเอมิเรตส์ยืนอยู่สองคน คุณแก้วก็แจ้งชื่อไป เจ้าหน้าที่ก็โทรเรียกรถให้และช่วยเข็นกระเป๋าออกไป ออกไปถึงรถก็เทียบท่าพอดี และเช่นเดิม นอน เล่นมือถือตามสบาย เงยหน้ามาอีกทีรถก็จอดส่งที่หน้าบ้านเป็นที่เรียบร้อย
การเดินทางในชั้นธุรกิจครั้งแรกของชีวิตกับสายการบินเอมิเรตส์จบลงอย่างประทับใจมากถึงมากที่สุด มีเพื่อนถามตั้งแต่ไฟลท์แรกจบว่าเป็นไงบ้าง คุณแก้วเลยได้คิดว่าเออมันก็ไม่ได้แบบ ว้าววววววววววววว สบายมากกกกกกกกกก แต่พอเทียบกับที่เคยนั่งอีโค่ ก็ต้อง เอ๊อออออออออ สบายกว่ามากกกกกกกกกกก ลงเครื่องมาแบบเมื่อยเราไม่เมื่อย เหนื่อยเราไม่เหนื่อย คิดไว้ในใจแล้วว่าถ้าต้องเดินทางครั้งหน้าแบบ 6 ชั่วโมงขึ้นไปเมื่อไร จงบิซ จะจ่ายเองหรือแลกไมล์มาก็จงบิซ
และหวังลึกๆ ว่าไม่เกินสี่ซ้าห้าปีนี้จะมีโอกาสเยือนเฟิสต์ สายการบินไหนจะเชิญไปรีวิวก็ยินดีนะคะ
สุดท้าย จะบอกว่า ใครจะนั่งบิซครั้งแรกแล้วรู้สึกเกิ้ม เขิน อาย ที่จะทำโน่นทำนี่ จะขออาหารขอขนม จะถ่ายรูป ยิ่งเดินทางคนเดียวแบบคุณแก้วต้องให้พนักงานถ่ายให้ จงอย่าเกิ้มอย่าเขินอาย อยากทำไรทำ อยากถ่ายไรถ่าย แค่ระวังอย่าไปกวนผู้โดยคนอื่นและอย่ากีดขวางการทำงานของพนักงานบนเครื่อง นอกนั้น ลุย เพราะไม่ใช่แค่คุณคนเดียวหรอกที่ตื่นตาตื่นใจกับบิซ คนอื่นก็เป็น คุณแก้วเจอทุกไฟลท์ และผู้โดยอื่นที่เขาคุ้นชิน เขาไม่ตื่นเต้น แต่เขาก็ไม่ได้แสดงอาการมองบนอะไรกับความตื่นใจของเรา
มีคนเคยบอกว่าจุดหมายปลายทางเป็นสิ่งสำคัญ
แต่สำหรับฉัน คุณแก้ว เรื่องราวระหว่างทางก็สำคัญไม่แพ้กัน
แม้เรื่องราวจะมีแค่การกิน ดูหนัง และนอน แต่ถ้ามันเหมาะสมต่อเรือนร่างและสังขารด้วยกำลังทรัพย์ที่สามารถ
คุณแก้วก็ว่ามันสำคัญและคุ้มค่าที่จะเลือก

#jeneveuxpastravaillerคุณค่าที่คุณคู่ควร