อินจัน เดอะมิวสิคัล รับบท เฮล / นักแสดงในคณะละครสัตว์ แสดง 12 – 25 ตุลาคม 2558 ณ มหิดลสิทธาคาร มหาวิทยาลัยมหิดล Eng – Chang the Musical as Hail / A dancer in a freak show October 12 – 25, 2015 Mahidol Sithakarn, Mahidol University, Thailand
นางสาวทองสร้อย (2558)
นางสาวทองสร้อย รับบท ยอดชาย ออกอากาศ 31 กรกฎาคม – 23 สิงหาคม 2558 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 Nangsoi Thongsoi (Miss Thongs) as Yodchai July 31 – August 23, 2015 Channel 3 Thailand
ชิคาโก้ (2558)
ชิคาโก้ รับบท แมรี่ ซันชายน์ แสดง 28 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม 2558 ณ มหาวิทยาลัยบูรพา Chicago as Mary Sunshine February 28 – March 1, 2015 Burapha University, Thailand
จุดไล่แขก
รายการ Take Me Out Thailand วันที่ 27 ธันวาคม 2557 สร้างความฮือฮาด้วยการเชิญคุณมิก สาวประเภทสอง รองมิสทิฟฟานี่ปี 2014 มายืนท่ามกลางหนุ่มโสดสามสิบคน ไฟดับไปทันที 22 ดวงเมื่อเธอบอกถึงเพศสภาพของเธอ แต่ในท้ายสุด มีผู้ชาย 5 คนเปิดไฟรอเธอ และสุดท้ายของท้ายสุด คุณกันดั้ม พิชิตใจเธอได้สำเร็จ (ขอบคุณภาพจาก youtube.com Take Me Out Thailand) ความงดงามของเทปนี้คือการพูดจาตอบคำถามของคุณมิก ที่ก้องขอชื่นชมว่าเธอตอบได้งดงามมาก ทั้งเนื้อความที่ตอบ กริยาและน้ำเสียงที่ใช้ รอยยิ้มที่พิมพ์อยู่บนใบหน้าเธอเสมอ เธอกล่าวว่าเหตุผลหนึ่งที่เธอมารายการนี้เพื่อหาคำตอบว่า จะมีหนึ่งคนไหมที่พร้อมจะเปิดใจให้เธอ เธอได้คำตอบ และเป็นคำตอบที่ให้กำลังใจคนอีกหลายคน ประเด็นที่เธอโดนดับไฟไปทันที 22 ดวงนั้น หลายคนยอมรับได้ด้วยเหตุผลว่าผู้ชายกับสาวประเภทสองจะไปคู่กันได้อย่างไร หลายคนตำหนิว่าทำไมมองแค่เรื่องเพศ ไม่พิจารณาให้ดีถึงตัวตนที่แท้จริงของคนคนนั้นก่อน คนเราทุกคนจะมีคุณสมบัติอย่างน้อยหนึ่งอย่าง อาจเป็นที่รูปร่าง หน้าตา บุคลิก ฐานะ การศึกษา ชาติตระกูล หน้าที่การงาน ฯลฯ มาจากด้านไหนก็ได้…
เอ็กซ์ตร้า ห้าร้อย
หนึ่งในประสบการณ์การแสดงที่จะเล่าไปชั่วลูกชั่วหลาน กับการรับหน้าที่ “เอ็กซ์ตร้า ห้าร้อย” ในภาพยนตร์ “เพื่อนสนิท” ตอนที่เรียนอยู่ปี 3 รุ่นน้องคณะได้มาชวญให้ไปเต้นในฉากหนึ่งในภาพยนตร์ ด้วยทักษะการเต้นที่สูงส่ง…หรา เมื่อน้องกล้าชวน พี่ก็กล้าไป หลังจากซักซ้อมกันจนได้ท่าเรียบร้อย วันถ่ายทำก็มาถึง พวกเราเดินทางสู่เขาใหญ่ (ใช่มั้ยนะ) ไปถึงราวๆบ่ายสองบ่ายสาม วู้ววว ท้องทุ่งกว้างใหญ่ อากาศเย็นกำลังดี เวทีใหญ่โต โอ้ววว ตื่นเต้นมาก พวกเราทานข้าว เตรียมตัวแต่งหน้าทำผม รอให้พระอาทิตย์ตกดิน เพราะฉากนี้เป็นฉากกลางคืน ตอนนั้นไม่ได้รู้เส้นเรื่องอะไรมาก รู้แค่ว่าเป็นฉากที่พระเอกนางเอกมางานคอนเสิร์ต เราก็เป็นแดนเซอร์อยู่บนเวที เต้นแรงๆ แต่หน้าตาย จบ พระอาทิตย์ตกดิน ไฟส่องสว่าง ได้เวลาที่พวกเราจะวาดลวดลายกันแล้ว ทุกคนพร้อมบนเวที พร้อม แอคชั่น! ทันทีที่เพลงมา พวกเราก็เต้นตายถวายชีวิตอย่างพร้อมเพียง สนุกสนาน กล้องก็เก็บภาพเราทั้งมุมไกล มุมใกล้ เต้นไปประมาณสี่ห้ารอบเห็นจะได้ คัท! โอเค ผ่าน ก้องโล่งใจที่งานผ่านไปได้ด้วยดี แต่ ความสนุกที่แท้จริงกำลังจะตามมาต่อจากนี้ คือตอนนั้นก็ยังใสๆไม่รู้เรื่องราวการถ่ายทำอะไรนัก จึงเข้าใจไปว่าเสร็จแล้ว ทว่าทีมงานยังไม่ได้ถ่ายจุดสำคัญก็คือพระนางที่ต้องเต้นอยู่ข้างล่าง อยู่ท่ามกลางผู้ชม…
หรือจะเป็นเรา…ที่พี่เขากล่าวถึง
วันก่อนพี่เหมี่ยวปวันรัตน์ลงข้อความถึงลักษณะของนักแสดงอันไม่พึงประสงค์ในกองถ่าย กลายเป็นเรื่องราวสืบค้นกันใหญ่โตว่าหมายถึงใครกันแน่ เครดิต: Pawanrat Naksuriya ก้องก็มานึก เอ๊ะๆ รึเราอ่านภาษาไทยไม่แตก คือเท่าที่ได้อ่าน มันได้อารมณ์ประมาณเล่าสู่กันฟัง เล่าความจริงเรื่องจริงที่เจอมาเนืองๆ หาได้มีเจตนาพาดพิงหรือตำหนิบุคคลใดบุคคนหนึ่งไม่ ถ้าย้อนถามก้องกลับว่าแล้วเคยเจอคนที่ทำตัวเช่นนั้นหรือไม่ ตอบตรงๆก็เจอบ้าง แต่ไม่ใช่ว่าคนหนึ่งคนจะทำหมดทุกอย่าง บางคนก็เป็นแค่บางข้อ และระดับความรุนแรงก็ไม่ใช่ขนาดคอขาดบาดตายสักทีเดียว หยุด อย่ามาขอให้เม้าให้เล่า แน่ะ ตื้ออีก มา เล่าก็เล่า เม้าก็ได้ แต่เม้าคนอื่นก็คงไม่มันเท่าช่วงนี้เลย (กรุณาทำท่า 3 สเตปแบบรายการคันปาก) ช่วง “เม้า ตัว เอง” (บอกก่อนว่าก้องไม่รู้จักพี่เหมี่ยวเป็นการส่วนตัว แต่รักและเคารพพี่เหมี่ยว ข้อความต่อไปนี้ไม่ได้มีเจตนาว่าพี่เหมี่ยวพาดพิงถึงก้อง แต่ก้องเองก็ได้มามองตัวเองว่าเราได้ทำอะไรที่ไม่ควรไปหรือไม่ ขอบคุณพี่เหมี่ยวครับ) – ได้บทแล้วไม่ท่อง ไม่อ่าน ไม่เอามา ท่องนะ อ่านด้วย เอาฉบับกระดาษไปแทบทุกครั้ง บางครั้งที่ไม่เอาไปคือดูในอีเมล์เอา – มาสาย แล้วบอกว่ารถติด แต่คนที่มาทางเดียวกันไม่ติด เคยสาย ด้วยเหตุผลรถติด ติดจริงไม่อิงนิยาย ก็โทรบอกระหว่างทางว่ารถติด (ตอนนี้ห้ามใช้มือถือ ก็ไม่รู้จะบอกกองยังไง)…
The Winner Is เราจะเอาเงิน 10 ล้าน ไปทำอะไร
บาดหัวใจเหลือเกินสำหรับรอบชิงชนะเลิศรายการ The Winner Is Thailand ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองทีมต้องเลือกระหว่างการไปลุ้นเงิน 10 ล้านบาท หรือรับแน่ๆ 1 ล้านบาทตรงหน้า ซึ่งกว่าจะมาถึงจุดนี้แน่นอนว่าทั้งสองทีมได้ปฏิเสธเงินมาทุกรอบก่อนหน้า พิธีกรถามคุณโอ หนึ่งในผู้เข้าแข่งขัน ก้องไม่รู้ว่าความต้องการของคุณโอคืออะไร แต่เขาพูดไว้ประมาณว่า ความฝันของเขาต้องเป็นเงินจำนวน 10 ล้านบาท อีกฝั่งหนึ่ง คุณพ่อกับคุณแม่ของน้องทูโทนแนะนำน้องว่า ให้เลือกรับ 1 ล้านบาท ด้วยประโยคหนึ่งที่ว่า เพียงแค่นี้ก็พอแล้ว ก็เลยมานึกว่า ถ้าต้องไปยืนอยู่ตรงนั้น ด้วยคะแนน 52-49 ก้องจะเลือกเงินจำนวนไหน ตอบยากมากจริงๆครับ เลยคิดต่อว่าทำไมยาก ก็ได้คำตอบว่า เพราะเราไม่รู้ว่าเราต้องการเงินไปทำอะไร ถ้าเรารู้ว่าเราจะทำอะไรกับชีวิต เราจะประเมินต่อว่าต้องใช้เงินเท่าไร และถ้าคำตอบที่ได้คือน้อยกว่าหนึ่งล้านบาท การเลือกรับเงิน 1 ล้าน จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ถ้าต้องใช้ 1 ล้าน 1 พันบาท … อืม เอาล้านนึงละกัน อีกพันนึงหาได้ แต่หากความต้องการหรือความฝันนั้นต้องใช้เงิน 5 ล้านบาท ไม่มีทางเลยครับที่เราจะเลือก…
เรียนไปทำไมกัน
เรื่องวันนี้ดูวิชาการมาก 555 ว่าด้วยระบบการศึกษาของไทย ออกตัวดังเอี๊ยดก่อนว่าหลังจากจบการศึกษาของตัวเองมา อันว่าลูกผัวไม่มี หลานสนิทไม่มา ดังนั้น สมัยนี้เรียนอะไรยังไงกันบ้าง ตอบเลยว่าไม่รู้ สมัยที่ยังเป็นนักเรียนโดยเฉพาะช่วงมัธยมปลายนั้น มักจะมีประโยคหนึ่งลอยไปลอยมาจากคนโน้นคนนี้เสมอๆ ว่า “เห้ย วิชานี้ เรียนไปทำไมวะ” ที่เห็นชัดที่สุดคือคณิตศาสตร์ ขอเรียกว่าเลขละกัน “เรียนทำไมวะ บวกลบคูณหารก็พอแล้ว ไปตลาดมึงจะดิฟจะอินทิเกรตซื้อผักรึไง” (ที่มา: http://www.atom.rmutphysics.com/charud/oldnews/0/285/18/book/7/1/101-132/118.gif%5B/) ประโยคพวกนี้ก็มีแว้บมาในหัวตัวเองบ้างเหมือนกัน แต่ด้วยความเป็นคนชอบเลข (ชอบสุดสองวิชาคู่กับภาษาอังกฤษ) พอชอบก็สนุก โจทย์ยากง่ายซับซ้อนก็ลุยหมด ผิดถูกรู้กัน และก็ตอบตัวเองในใจว่า “เอาน่า เดี๋ยววันนึงก็ได้ใช้” แม้ว่าตอนนั้นจะรู้ว่าความฝันคือเป็นนักแสดง แล้วกับวิชาที่ไม่ชอบบ้างละ หึหึ ชอบน้อยที่สุด (คุณครูอย่าน้อยใจนะ) สังคมศึกษา และ ชีววิทยา ชอบน้อย (ใช้คำนี้แล้วดูเบากว่าคำว่าไม่ชอบ) ขนาดที่ถ้าประกาศมาว่าทั้งห้องมีคนได้เกรดสามคนเดียวนอกนั้นสี่หมด หมายหัวได้เลยว่าใคร แต่ตอนเรียนก็ทนเรียนไป ประวัติศาสตร์ก็ท่องๆ จำๆไป ชีวะก็อู๊ววว ตื่นเต้นกับเรื่องราวชีวิต เดนไดรท์แอกซอนกันไป มาถึงตอนนี้ทั้งที่ชอบมากแบบเลขและชอบน้อยแบบสองวิชานี้แทบหมดสิ้นจากหน่วยความจำ แล้วได้ใช้ไหม เรียนมาทำไมกัน คณิตศาสตร์สอนให้เรามีระบบความคิด เมื่อเจอปัญหา ไม่ได้มีทางเดียวสำหรับการไปสู่คำตอบ…
งานแบบไหนจะเหมาะกับเรา
“ไม่อยากทำงานประจำอะ อยากเป็นฟรีแลนซ์” เป็นประโยคที่ก้องได้ยินบ่อยมากจากน้องๆที่กำลังจะจบหรือเพิ่งจบปริญญาตรี ขณะที่กำลังก้าวสู่โลกแห่งการทำงาน หลายคนยังรักอิสระ อยากเผชิญความกล้าในงานฟรีแลนซ์ แต่ก็มีหลายคนเลือกความมั่นคงด้วยการหางานประจำ ทั้งหมดล้วนอยากประสบความสำเร็จในการทำงาน แล้วงานแบบไหนกันที่จะทำให้เราไปถึงจุดนั้น งานแบบไหนที่จะเหมาะกับเรา ได้อ่านบทความจากเพจ Thailand Investment Forum ซึ่งยกตัวอย่างงานไว้สามลักษณะ (จริงๆอาจมีมากกว่านี้ แต่ก้องว่าสามอันนี้ครอบคลุมมากครับ) คือ งานประจำ งานฟรีแลนซ์ และงานเจ้าของกิจการ งานประจำพูดง่ายๆก็คือลูกจ้าง ทำงานบริษัท เข้าออกเป็นเวลา มีที่มีทางทำงานแน่นอน มีเงินเดือนประจำ งานฟรีแลนซ์ ก็รับจ้างทั่วไป มีคนจ้างก็มีงาน ไม่มีคนจ้างก็รองาน เงินไม่แน่นอน แต่อิสระ จัดสรรเวลาทำงานได้เอง งานเจ้าของกิจการ คล้ายงานฟรีแลนซ์ แตกต่างตรงที่มักจะต้องมีการว่าจ้างคนอื่นมาช่วยทำงานด้วย บทความนี้กล่าวถึงเรื่องค่าตอบแทนของทั้งสามงานได้น่าสนใจว่า ทั้งสามงาน ถ้าทำให้ได้ดีแล้วนั้น งานประจำ คุณจะอยู่ระดับผู้บริหาร ค่าตอบแทนปีละหลักพันล้านบาท ใช่เลยครับ แถมเวลาทำงานที่แน่นอนนั้นก็ไม่ได้ยาวนาน วันนึงไม่กี่ชั่วโมง งานฟรีแลนซ์ คุณจะสามารถเลือกงานทำได้ ปีนึงอาจทำสักงานสองงาน แล้วเงินที่ได้มาอยู่ไปได้อีกหลายปี แถมงานแต่ละชิ้นที่ทำก็ติดโบว์แดง (ไม่แสลงใจ) ทั้งสิ้น งานเจ้าของกิจการ ธุรกิจก็จะรุ่ง ใหญ่โต…
พื้นที่ส่วนตัวสาธารณะ
นี่คือภาพจาก IG พี่แมร์ ขออนุญาตนำมาแปะนะครับ หลังจากกระแส “ฝากร้าน” ตามไอจีของดาราต่างๆมีกันมานาน ช่วงนี้เลยมีกระแส “งดฝากร้าน” เกิดขึ้น มีทั้งคนเห็นด้วยพร้อมเหตุผลว่านี่คือพื้นที่ส่วนตัวของเจ้าของไอจี และคนไม่เห็นด้วยพร้อมเหตุผลว่าเจ้าของไอจีเป็นบุคคลสาธารณะ ที่ตรงนี้ก็ถือเป็นที่สาธารณะ แล้วที่ตรงนี้ “ส่วนตัว” หรือ “สาธารณะ” กันแน่ คาดว่าทุกคนคงเคยไปสวนสาธารณะ หรืออย่างน้อยก็ต้องเคยผ่าน หรืออย่างน้อยๆก็ต้องรู้จักนะ โอเคมั้ย อะต่อ เราทำอะไรกันบ้างครับเวลาไปที่นั่น เดินเล่น ปิกนิก ทานอาหาร เล่นสเก๊ต พายเรือ ให้อาหารนก โยคะ ไทชิ ตีแบด วิ่ง ฯลฯ มากสุดที่ก้องคิดแล้วคิดอีกก่อนทำก็คือ ร้องเพลง (อัดคลิปด้วยนะ เพลงจากมารุโกะ https://www.youtube.com/watch?v=aIQKdo7qgJs) มีใครจะไปแก้ผ้าในสวนสาธารณะกันมั้ย สวนสาธารณะ ที่ดูเหมือนเราจะเข้าไปทำอะไรก็ได้ ดูเหมือนไม่มีเจ้าของ แท้จริงก็มีผู้ดูแล มีกฎ มีกติกาในการอยู่ร่วมกัน และที่เราสามารถทำกิจกรรมได้หลากหลายนั่นก็เพราะสวนเปิดกว้าง ยอมรับในกิจกรรมเหล่านั้น เนื่องจากไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้อื่นที่มาใช้บริการ ครั้งหนึ่งที่ยิมก้อง มีสมาชิกท่านหนึ่งพานักเรียนมาติวหนังสือตรงที่ที่ทางยิมจัดไว้ให้นั่งเล่น หลังจากสังเกตอยู่หลายครั้งก้องคิดว่านี่ไม่ใช่การติวเฉพาะกิจแบบเพื่อนติวกัน หรือน้าติวหลาน แต่คือการเปิดกิจการทำธุรกิจบนที่สาธารณะตรงนี้ ซึ่งก้องไม่เห็นด้วย…
ยินดีที่จะได้รู้จัก
ช่วงนี้ละคร ก๊วนคานทองกับแก๊งพ่อปลาไหลออกอากาศ ก็มีคนเข้ามาทักทายเยอะขึ้นซึ่งบอกเลยว่าแฮบปี้นะครับ แต่ แต่ ในทุกข์มีสุข ในสุขก็มีทุกข์ ว่าด้วยละครเรื่องนี้เริ่มถ่ายตั้งแต่กันยายนปี 2556 ผ่านมาครึ่งปีจึงออกอากาศ สังขารก็บ่ายโมงบ่ายสอง (ไม่เที่ยง) บ้างเป็นธรรมดา ช่วงเริ่มถ่ายก้องหนักประมาณ 84-85 แต่ตอนนี้ เมษายน 2557 ที่ละครออกอากาศนั้นก้องก้าวสู่การเป็นศิลปินยุค ’90 แล้ว 555 คือหนักมาก เก้าสิบ++ ละครับ แฟนๆที่เข้ามาทักก็จะมีว่า “อ้วนกว่าในทีวี” “ในทีวีดูตัวเล็กนะ” “โหไม่นึกว่าจะอ้วนขนาดนี้” มากมายไปจนถึงเช้านี้ก้องลงไปซื้อข้าวในซอย มีคนเดินมาจิ้มพุงเลยคร่า จิ้มหลายทีด้วยคร่า คุยไปจิ้มไปคร่า ขอแวะถามให้คิดตามกันว่า สมมติเราเดินๆอยู่ แล้วมีคนที่ไม่รู้จักเดินมาวิจารณ์รูปร่างหน้าตา เข้ามาสัมผัสร่างกายเรา เราโอเคมั้ย ขออนุญาตบอกตามตรงว่าก้องไม่ค่อยโอเคนะครับ ถ้าเป็นสมัยก่อนที่ไม่มีชื่อเสียงรับรองว่ามีตอบโต้ … แต่ถ้าไม่มีชื่อเสียงก็ไม่มีใครทักหรอกเนอะ … ปัญหามันจึงช่วงนี้ละครับที่คนเข้ามาทัก ก้องเลยมาวิเคราะห์ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร เป็นไปได้ว่า เราเห็นนักแสดงในทีวี ในสื่อต่างๆเป็นประจำ ทำให้เรารู้สึกคุ้นเคย เจอกันบ่อย รู้สึกไปว่ารู้จักกัน โดยลืมนึกไปว่าฝั่งนักแสดงนั้นยังไม่เคยได้รู้จักเราเลย ก้องยินดีเสมอที่จะมีใครเข้ามาทักทาย พูดคุย ขอถ่ายรูป…
ความสำเร็จ … เมื่อไร … จะไปถึง
ได้อ่านเจอคำถามว่า “ความสำเร็จคืออะไร เราจะไปถึงไหม แล้วที่ทำๆอยู่ทุกวันนี้คือทางสู่ความสำเร็จแล้วหรือไม่” น่าคิดนะครับกับคำถามเหล่านี้ คำถามแรก ความสำเร็จคืออะไร อันนี้แต่ละคนต้องตอบเองครับ คำถามที่สอง เราจะไปถึงไหม ถ้าเชื่อว่าถึง วันหนึ่งก็จะไปถึงครับ คำถามที่สามคือสิ่งที่ก้องจะเขียนถึงในวันนี้ เวลาที่เราขับรถไปที่ไหนสักแห่ง เรามีจุดหมายใช่ไหมครับ จากนั้นเราก็วางแผนเส้นทาง ตัวเลือกมีมากมาย เช่น ทางที่ 1 ใช้บ่อย ชินที่สุด ทางที่ 2 ไปถึงเร็วที่สุด ทางที่ 3 ผ่านถนนที่สวยงามที่สุด ทางที่ 4 ไม่ต้องขึ้นทางด่วน ประหยัดเงินที่สุด คงจะดีไม่น้อยถ้าทางที่เราจะใช้นั้นเป็นทางที่ใช้บ่อย ถึงเร็ว ถนนสวย แถมยังประหยัดเงิน แต่ในความจริงไม่เป็นเช่นนั้นหรอก ทางที่เราใช้บ่อยอาจไปถึงเร็วสุด แต่สภาพถนนมีแต่หลุม หรืออีกทางที่ผ่านถนนเส้นสวยงามก็ต้องจ่ายค่าทางด่วน แล้วเราจะไปทางไหนดี ถ้ามั่นใจว่าตัวเลือกเส้นทางต่างๆที่มีพาเราไปสู่จุดหมายแน่ๆ ก็ “เลือก” เลยครับ สักทาง จะใช้เกณฑ์อะไรเลือกก็แล้วแต่เราว่าให้ความสำคัญกับอะไร ไม่มีถูกผิด มีแต่ถูกใจหรือไม่ เลือกแล้วก็ขับรถไป เจอปัญหาอุปสรรคระหว่างทางก็ตัดสินใจเลือกต่อ ว่าจะยืนยันเส้นทางเดิมหรือเปลี่ยนเส้นทางใหม่ อาจต้องยอมเปลี่ยนเกณฑ์การเลือก หรือแม้แต่วนกลับทางเก่าบ้าง ก็สุดแล้วแต่…