นั่งเขียนบทความนี้กลางเดือนกันยายน 2560 ช่วงที่กระแสละคร “เพลิงบุญ” มาจริงๆ คอละครพูดกันถ้วนทั่ว คอไม่ละครหลายคนก็ดู หรือแม้ไม่ดูก็ต้องรับรู้ถึงการมีอยู่ของ “ใจเริง” ไม่มากก็น้อย กระแสที่ว่านั้นมีทั้งด้านชมที่ว่าละครสนุก เผ็ด มันส์ และด้านติงว่านางเอกอดทนจัง พระเอกก็แสนเลวแต่เดี๋ยวสุดท้ายก็ได้รับการให้อภัย นี่หรือละครไทยในยุค 4.0 “พิมาลา” หรือ “พิม” นางเอกของเรื่องถูกพูดถึงเรื่อยๆ ในเรื่องความอดทนที่มากเกินไป ความใจเย็นที่ดูเหมือนโง่ หรือแม้แต่การต่อสู้ ที่ถึงขนาดลุกขึ้นมาประกาศว่า “พิมที่แสนดียังอยู่ แต่พิมที่โง่ได้ตายไปแล้ว” ไว้ แต่ต่อมาก็ไม่เห็นทำอะไรนอกจากรอผัวกลับมาอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ จะหย่าก็ไม่เด็ดขาด จนบางคนตั้งคำถามว่า เป็นไปได้ไหมที่จะมีละครที่ผู้หญิงลุกขึ้นสู้บ้าง เมื่อเจอผู้ชายโดยเฉพาะที่ได้ตำแหน่งเป็นสามีหรือผัว แล้วเลว นอกใจ มีชู้ ฝ่ายหญิงจะเข้มแข็ง มีวุฒิภาวะมากพอที่จะคิดเลือกทางดำเนินชีวิตแบบที่มนุษย์ฉลาดๆ เขาพึงกระทำกัน เป็นไปได้ไหม ย้อนไปเมื่อเดือนสิงหาคมปีเดียวกันนี้ “คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหัวใจฟรุ้งฟริ้ง” ออกอากาศ ว่าด้วยเรื่องของ “มุลิลา” หรือ “มู่ลี่” ผู้หญิงที่จับได้ว่าผัวตนนอกใจ เธอตัดสินใจย้ายออกจากบ้าน เอาลูกมาเลี้ยงเองเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว หางานทำ พยายามจัดสรรชีวิตให้ลงตัวระหว่างการเอาใจใส่ดูแลลูก กับการต่อสู้ในชีวิตการทำงาน และหย่าในที่สุด ปกติเวลาพูดถึงเรื่องความรัก…
Category: Thought
11 ข้อแนะนำในการชมละครเวที
จะไปชมละครเวทีสักเรื่องมันจะต้องรู้อะไรถึง 11 ข้อเชียวหรือ คำตอบคือไม่ต้องรู้เลยสักข้อก็ได้ แต่ถ้ารู้และนำไปปฏิบัติ จะชมละครได้อย่างมีความสุขขึ้น ทันตาเห็น 1. ไปถึงโรงละครก่อนเวลาแสดงอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ถ้าไม่ใช่คอละครเวทีแล้ว น้อยคนที่จะเดินทางไปโรงละครกันบ่อยๆ จนคำนวณเวลาได้แม่นยำ ยิ่งเป็นการเดินทางโดยรถยนต์ในกรุงเทพมหานครแล้วนั้น ขอแนะนำให้เผื่อเวลาเดินทางชนิดที่ว่า ไปถึงโรงละครให้ได้ก่อนเวลาแสดงอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เช่น ถ้าละครเริ่มทุ่มตรง คิดว่าใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมง ไม่ใช่หกโมงค่อยออกจากบ้าน แต่ให้ออกตั้งแต่ห้าโมงเย็นไปเลย เพราะเป็นที่รู้กันว่าการจราจรบ้านเรานั้นเป็นอะไรที่ถ้าติดขึ้นมาคือถึงขั้นพัง และไม่ใช่พังธรรมดาแต่เป็น พังพินาศ ใครที่ใช้การเดินทางอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพี่วิน รถไฟฟ้า หรือเดิน ก็อาจจะลดเวลาที่เผื่อลงมาจาก 1 ชั่วโมงเป็นสัก 30 นาที เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ เผื่อไว้ก่อนดีกว่า นอกจากเรื่องของการจราจรแล้ว การเผื่อเวลานี้ยังรวมไปถึง เผื่อหลงทาง เผื่อหาทางเข้าไม่เจอ เผื่อเลยทางเข้าแล้วต้องวนใหม่ เผื่อหาที่จอดรถยาก เผื่อจอดรถเรียบร้อยแต่หาโรงละครไม่เจอ เผื่อต้องไปรับบัตรหน้าโรง เผื่อกินข้าว เผื่อเข้าห้องน้ำ เผื่อ เผื่อ เผื่อ ส่วนถ้าเผื่อขนาดนี้แล้วยังไปไม่ทันจริงๆ ก็ให้คิดเสียว่าแต้มบุญเรามีไม่พอที่จะชมละครในรอบนั้น 2. วางแผนเรื่องการกินอาหาร แต่ละคนควรรู้ตัวเองว่าระบบร่างกายของตนเป็นอย่างไร หิวไม่ได้หิวแล้วจะหงุดหงิด ก็หาอะไรกินให้อิ่มซะ…
ขออย่ายอมแพ้ อย่าอ่อนแอแม้จะร้องไห้
สิงหาคม 2559 ก้องได้ไปชมกรีนคอนเสิร์ต 100 เพลงรักที่กลับมาที่พารากอน ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตที่รวบรวมเพลงที่เราคุ้นหูคุ้นปากคุ้นใจกันมาตั้งแต่เด็กๆ เรียกได้ว่าร้องตามได้แทบทุกเพลง …… รวมถึงเพลงนี้ ที่แค่อินโทรดังขึ้น ก็รู้ได้ทันที พี่อ้อม สุนิสา สุขบุญสังข์ มาพร้อมกับเพลง “อย่ายอมแพ้” หากวันนี้ เราล้มลง ยังคงลุกขึ้นได้ใหม่ ถ้ายังคงมีหนทาง ถ้ายังมียิ้มสดใส ก้าวไป อย่าหวั่นไหวหวาดกลัว พร้อมทนทุกข์หมองหม่น ผจญความมืดหมองมัว ไม่กลัว จะฝันถึงวันใหม่ หากวันใดอ่อนแอ ท้อแท้อย่าหวั่นไหว ขอให้ใจไม่สิ้นหวัง ปัญหาแม้จะหนัก ก็คงไม่เกินกำลัง อย่าหยุดยั้งก้าวไป ขออย่ายอมแพ้ อย่าอ่อนแอแม้จะร้องไห้ จงลุกขึ้นสู้ไป จุดหมายไม่ไกลเกินจริง ยังไม่ทันที่พี่อ้อมจะเริ่มร้องท่อนแรก ก็มีภาพภาพหนึ่งแว้บขึ้นมาในหัวก้อง ภาพในเดือนมกราคม 2550 ณ พารากอนที่เดียวกันนี้ ก้องมาชมคอนเสิร์ต คีตา ซึ่งพี่อ้อมก็ขึ้นร้องเพลงนี้เช่นกัน ตอนนั้นเป็นช่วงปีแรกที่ก้องเรียนจบปริญญาตรีและออกมาทำงาน ออกจากโลกจำลองสู่โลกแห่งความจริง จำได้ว่าร้องไห้ตั้งแต่อินโทรขึ้นจนจบเพลง ร้องตะโกนคู่ไปกับพี่อ้อมจนสุดเสียงตลอดทั้งเพลงทั้งน้ำตา ตัดภาพกลับมาในเดือนสิงหาคม 2559 ก้องฟังเพลงนี้แบบนิ่งขึ้น เข้าใจขึ้น ไม่ได้เข้าใจทุกสิ่งบนโลกนี้หรอก แต่เก้าปีที่ผ่านก็สอนอะไรไม่น้อย ถ้าย้อนเวลากลับได้ อยากไปบอกตัวเองตอนนั้นว่าให้สู้ต่อไป วันที่ดีกว่ารอแกอยู่ คิดอีกที ไม่บอกดีกว่า เดี๋ยวบอกไปนางจะเหลิง…
เพราะชีวิตไม่ได้มีแค่รูปถ่ายและฉันชอบไอเดียนี้
30 พฤษภาคม 2559 ก้องเห็นรุ่นพี่คนหนึ่งโพสต์ข้อความเป็นภาษาอังกฤษว่า “Because life isn’t only photos and I liked this idea. . . I’m going to get into the game. The proposal is “shake” Facebook. Let’s see if it works. The game is a small test to see who reads the messages when there is no picture. Therefore, if you are reading…
ที่เที่ยวในวัยสามสิบนิดๆ
เคยได้ยินคนพูดกันว่า “แก่แล้วจะเลิกเที่ยว” ขอบอกตรงนี้ ขีดเส้นใต้สามสิบสองเกือบจะสามสิบสามเส้น มากไป สองพอ ขีดเส้นใต้สองเส้นว่า “ไม่จริง” ชีวิตในวัยเลข 3 เริ่มมีความมั่นคงในหน้าที่การงาน เริ่มมีเงินเก็บ สุขภาพยังดี มั่นคงในหน้าที่การงาน แปลว่า พอจะจัดสรรวันลาได้ เจ้านายไม่ด่า (มากเท่าไร) เริ่มมีเงินเก็บ แปลว่า มีเงินจ่ายค่ากินค่าเที่ยวได้ สุขภาพยังดี แปลว่า ไปเที่ยวไหว ปัจจัยการเที่ยวก็มีแค่นี้ มีเวลา มีเงิน มีแรง ก็ถ้ามีครบ ไม่มีใครหยุดเที่ยวหรอก ตอนเป็นวัยรุ่น เราอาจไปที่ที่คนบอกว่า “น่าไป” “ต้องไป” “ถ้าไม่ไปจะคุยกับเขาไม่รู้…” อุ่ย แหะๆ คือไปมันทุกที่ ทั้งแนวธรรมชาติ ภูเขา แม่น้ำ ทะเล แนวประวัติศาสตร์ โบราณสถาน พิพิธภัณฑ์ ไปจนแนวอโคจร ผับ บาร์ แต่นอกเหนือจากเวลา เงิน และแรง คนวัยนี้จะเริ่มรู้ “หัวใจ” ตัวเอง เมื่อรู้หัวใจตัวเอง…
“อย่าไปคบเพื่อนคนนี้นะลูก เขาเป็นตุ๊ด”
(ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา) หลายคนคงเคยได้ยิน ได้อ่าน ได้ฟัง ได้เห็น วลีประมาณว่า “เป็นตุ๊ดนี่ต้องตั้งใจเรียน เรียนให้เก่งๆ จะได้มีงานมีการดีๆ เพื่อพิสูจน์ตัวเอง” ถ้าจะพูดแบบไม่ถ่อมตัว เราก็เป็นคนที่เรียนเก่ง (เรื่องเป็นตุ๊ดไหม …. สาบานว่าต้องการคำตอบ) แต่การเรียนเก่งของเรานี่ไม่เคยมาจากแรงผลักดันที่ต้องพิสูจน์ตัวเองอะไร เอ้า เอาให้เกลียดกันไปเลย คือจำความได้มันก็หัวดีแบบนี้ ประถมนี่แทบไม่อ่านหนังสือก่อนสอบ มาเริ่มอ่านเอามัธยมต้นและทุ่มเทมากขึ้นตามระดับการศึกษา แต่ก็เกิดมาจากความคิดที่ว่า “เราอยากทำให้เต็มที่” ไม่ได้เกิดจาก “เราจะต้องพิสูจน์ตัวเอง” แต่ก็ไม่ใช่ว่าอีตุ๊ดเด็กนี่จะไม่มีปม ไม่เอาๆ ไม่เรียกปม ปล่อยวางแล้ว เรียกใหม่ว่าเป็นประสบการณ์เคยฝังใจ ช่วงประถมปลาย ไปบ้านเพื่อนคนหนึ่งในวันหยุด พอเปิดเรียนวันจันทร์ก็งงๆ ว่าเพื่อนคนนี้ดูแปลกๆ ไม่พูดไม่จากับเรา เพื่อนๆ คนอื่นในกลุ่มคนอื่นๆ ก็ซุบซิบกัน ถามไปถามมาจนได้ความว่า คุณแม่ของเพื่อนเจ้าของบ้าน บอกให้เพื่อนเลิกคบกับเรา เพราะกลัวเพื่อนจะเป็นแบบเรา ก็ยังเด็กอะเนอะ มันเลยงงๆ ว่าเหยเป็นตุ๊ดแล้วคือยังไงหรอ คบแล้วมันจะไม่ดียังไง เราเป็นเด็กดีตั้งใจเรียน เป็นเพื่อนที่ดีนะ แต่คิดแล้วก็ไม่ได้คำตอบอะไร ซึ่งก็ไม่ได้พยายามจะคิดอะไรมากเพราะเพื่อนคนนั้นก็เลิกคบกันอยู่ประมาณสองวัน แล้วก็กลับมาคุย กินข้าว ทำงานกลุ่มด้วยกันเหมือนเดิมจนแยกย้ายกันไปตอนจบ ป.6 อีกครั้งเกิดตอนมัธยมต้น…
อย่าให้รูปแบบการใช้ชีวิตตายก่อนตัวคุณ
วันนี้เปิดเจอโฆษณาผลิตภัณฑ์ทางการเงินชิ้นหนึ่งของประเทศออสเตรเลีย โห….. ถูกใจมาก นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่เปิดคอร์สการบริหารจัดการเงิน Money Ma’ny ไปชมกันก่อนเลย (คลิกด้านล่าง นี่ไม่ได้ค่าโฆษณาไหม ชอบก็ว่าชอบ อย่าคิดเยอะ กดดู) Challenger Annuities TVC กระแทกใจกันตั้งแต่ประโยคแรก Life expectancy is on the rise. But what about lifestyle expectancy? อายุขัยของคนเรานั้นยาวนานขึ้น แล้วรูปแบบการใช้ชีวิตล่ะเป็นอย่างไร เราคาดหวังที่จะมีชีวิตยืนยาว พยายามทุกวิถีทางทั้งเลือกสรรอาหารที่ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้กายหยาบกับกายละเอียดของเราไม่แยกจากกันเร็วเกินไป 60 70 80 ตามแต่ใจเราคาดหวัง แต่ถ้าย้อนถามว่าหากชีวิตดำเนินไปถึงช่วงอายุนั้นจริงๆ เราจะขอบคุณตัวเราเองที่ทำให้มาถึงอายุเท่านี้ หรือจะก่นด่าว่ามึงจะให้กูอายุยืนทำไมลำบากลำบนฉิบห…. (ว้าย หยาบคาย #อรรถรส) เราจะอยากมีชีวิตยืนยาวไปทำไมถ้าชีวิตนั้นไม่ใช่อย่างที่เราต้องการ แน่นอนว่าชีวิตต้องเริ่มต้นด้วยปัจจัย 4 อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ลำพังปัจจัยสี่อย่างนี้ก็มีระดับที่ต่างกันไป เราอยากมีชีวิตที่เลือกได้ว่าวันนี้จะกินอะไร หรืออยากมีชีวิตที่ต้องกินสิ่งที่มีที่หาได้เท่านั้น รูปแบบการใช้ชีวิตเป็นอีกหนึ่งที่เราต้องคาดหวัง…
จุดไล่แขก
รายการ Take Me Out Thailand วันที่ 27 ธันวาคม 2557 สร้างความฮือฮาด้วยการเชิญคุณมิก สาวประเภทสอง รองมิสทิฟฟานี่ปี 2014 มายืนท่ามกลางหนุ่มโสดสามสิบคน ไฟดับไปทันที 22 ดวงเมื่อเธอบอกถึงเพศสภาพของเธอ แต่ในท้ายสุด มีผู้ชาย 5 คนเปิดไฟรอเธอ และสุดท้ายของท้ายสุด คุณกันดั้ม พิชิตใจเธอได้สำเร็จ (ขอบคุณภาพจาก youtube.com Take Me Out Thailand) ความงดงามของเทปนี้คือการพูดจาตอบคำถามของคุณมิก ที่ก้องขอชื่นชมว่าเธอตอบได้งดงามมาก ทั้งเนื้อความที่ตอบ กริยาและน้ำเสียงที่ใช้ รอยยิ้มที่พิมพ์อยู่บนใบหน้าเธอเสมอ เธอกล่าวว่าเหตุผลหนึ่งที่เธอมารายการนี้เพื่อหาคำตอบว่า จะมีหนึ่งคนไหมที่พร้อมจะเปิดใจให้เธอ เธอได้คำตอบ และเป็นคำตอบที่ให้กำลังใจคนอีกหลายคน ประเด็นที่เธอโดนดับไฟไปทันที 22 ดวงนั้น หลายคนยอมรับได้ด้วยเหตุผลว่าผู้ชายกับสาวประเภทสองจะไปคู่กันได้อย่างไร หลายคนตำหนิว่าทำไมมองแค่เรื่องเพศ ไม่พิจารณาให้ดีถึงตัวตนที่แท้จริงของคนคนนั้นก่อน คนเราทุกคนจะมีคุณสมบัติอย่างน้อยหนึ่งอย่าง อาจเป็นที่รูปร่าง หน้าตา บุคลิก ฐานะ การศึกษา ชาติตระกูล หน้าที่การงาน ฯลฯ มาจากด้านไหนก็ได้…
The Winner Is เราจะเอาเงิน 10 ล้าน ไปทำอะไร
บาดหัวใจเหลือเกินสำหรับรอบชิงชนะเลิศรายการ The Winner Is Thailand ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองทีมต้องเลือกระหว่างการไปลุ้นเงิน 10 ล้านบาท หรือรับแน่ๆ 1 ล้านบาทตรงหน้า ซึ่งกว่าจะมาถึงจุดนี้แน่นอนว่าทั้งสองทีมได้ปฏิเสธเงินมาทุกรอบก่อนหน้า พิธีกรถามคุณโอ หนึ่งในผู้เข้าแข่งขัน ก้องไม่รู้ว่าความต้องการของคุณโอคืออะไร แต่เขาพูดไว้ประมาณว่า ความฝันของเขาต้องเป็นเงินจำนวน 10 ล้านบาท อีกฝั่งหนึ่ง คุณพ่อกับคุณแม่ของน้องทูโทนแนะนำน้องว่า ให้เลือกรับ 1 ล้านบาท ด้วยประโยคหนึ่งที่ว่า เพียงแค่นี้ก็พอแล้ว ก็เลยมานึกว่า ถ้าต้องไปยืนอยู่ตรงนั้น ด้วยคะแนน 52-49 ก้องจะเลือกเงินจำนวนไหน ตอบยากมากจริงๆครับ เลยคิดต่อว่าทำไมยาก ก็ได้คำตอบว่า เพราะเราไม่รู้ว่าเราต้องการเงินไปทำอะไร ถ้าเรารู้ว่าเราจะทำอะไรกับชีวิต เราจะประเมินต่อว่าต้องใช้เงินเท่าไร และถ้าคำตอบที่ได้คือน้อยกว่าหนึ่งล้านบาท การเลือกรับเงิน 1 ล้าน จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ถ้าต้องใช้ 1 ล้าน 1 พันบาท … อืม เอาล้านนึงละกัน อีกพันนึงหาได้ แต่หากความต้องการหรือความฝันนั้นต้องใช้เงิน 5 ล้านบาท ไม่มีทางเลยครับที่เราจะเลือก…
เรียนไปทำไมกัน
เรื่องวันนี้ดูวิชาการมาก 555 ว่าด้วยระบบการศึกษาของไทย ออกตัวดังเอี๊ยดก่อนว่าหลังจากจบการศึกษาของตัวเองมา อันว่าลูกผัวไม่มี หลานสนิทไม่มา ดังนั้น สมัยนี้เรียนอะไรยังไงกันบ้าง ตอบเลยว่าไม่รู้ สมัยที่ยังเป็นนักเรียนโดยเฉพาะช่วงมัธยมปลายนั้น มักจะมีประโยคหนึ่งลอยไปลอยมาจากคนโน้นคนนี้เสมอๆ ว่า “เห้ย วิชานี้ เรียนไปทำไมวะ” ที่เห็นชัดที่สุดคือคณิตศาสตร์ ขอเรียกว่าเลขละกัน “เรียนทำไมวะ บวกลบคูณหารก็พอแล้ว ไปตลาดมึงจะดิฟจะอินทิเกรตซื้อผักรึไง” (ที่มา: http://www.atom.rmutphysics.com/charud/oldnews/0/285/18/book/7/1/101-132/118.gif%5B/) ประโยคพวกนี้ก็มีแว้บมาในหัวตัวเองบ้างเหมือนกัน แต่ด้วยความเป็นคนชอบเลข (ชอบสุดสองวิชาคู่กับภาษาอังกฤษ) พอชอบก็สนุก โจทย์ยากง่ายซับซ้อนก็ลุยหมด ผิดถูกรู้กัน และก็ตอบตัวเองในใจว่า “เอาน่า เดี๋ยววันนึงก็ได้ใช้” แม้ว่าตอนนั้นจะรู้ว่าความฝันคือเป็นนักแสดง แล้วกับวิชาที่ไม่ชอบบ้างละ หึหึ ชอบน้อยที่สุด (คุณครูอย่าน้อยใจนะ) สังคมศึกษา และ ชีววิทยา ชอบน้อย (ใช้คำนี้แล้วดูเบากว่าคำว่าไม่ชอบ) ขนาดที่ถ้าประกาศมาว่าทั้งห้องมีคนได้เกรดสามคนเดียวนอกนั้นสี่หมด หมายหัวได้เลยว่าใคร แต่ตอนเรียนก็ทนเรียนไป ประวัติศาสตร์ก็ท่องๆ จำๆไป ชีวะก็อู๊ววว ตื่นเต้นกับเรื่องราวชีวิต เดนไดรท์แอกซอนกันไป มาถึงตอนนี้ทั้งที่ชอบมากแบบเลขและชอบน้อยแบบสองวิชานี้แทบหมดสิ้นจากหน่วยความจำ แล้วได้ใช้ไหม เรียนมาทำไมกัน คณิตศาสตร์สอนให้เรามีระบบความคิด เมื่อเจอปัญหา ไม่ได้มีทางเดียวสำหรับการไปสู่คำตอบ…
งานแบบไหนจะเหมาะกับเรา
“ไม่อยากทำงานประจำอะ อยากเป็นฟรีแลนซ์” เป็นประโยคที่ก้องได้ยินบ่อยมากจากน้องๆที่กำลังจะจบหรือเพิ่งจบปริญญาตรี ขณะที่กำลังก้าวสู่โลกแห่งการทำงาน หลายคนยังรักอิสระ อยากเผชิญความกล้าในงานฟรีแลนซ์ แต่ก็มีหลายคนเลือกความมั่นคงด้วยการหางานประจำ ทั้งหมดล้วนอยากประสบความสำเร็จในการทำงาน แล้วงานแบบไหนกันที่จะทำให้เราไปถึงจุดนั้น งานแบบไหนที่จะเหมาะกับเรา ได้อ่านบทความจากเพจ Thailand Investment Forum ซึ่งยกตัวอย่างงานไว้สามลักษณะ (จริงๆอาจมีมากกว่านี้ แต่ก้องว่าสามอันนี้ครอบคลุมมากครับ) คือ งานประจำ งานฟรีแลนซ์ และงานเจ้าของกิจการ งานประจำพูดง่ายๆก็คือลูกจ้าง ทำงานบริษัท เข้าออกเป็นเวลา มีที่มีทางทำงานแน่นอน มีเงินเดือนประจำ งานฟรีแลนซ์ ก็รับจ้างทั่วไป มีคนจ้างก็มีงาน ไม่มีคนจ้างก็รองาน เงินไม่แน่นอน แต่อิสระ จัดสรรเวลาทำงานได้เอง งานเจ้าของกิจการ คล้ายงานฟรีแลนซ์ แตกต่างตรงที่มักจะต้องมีการว่าจ้างคนอื่นมาช่วยทำงานด้วย บทความนี้กล่าวถึงเรื่องค่าตอบแทนของทั้งสามงานได้น่าสนใจว่า ทั้งสามงาน ถ้าทำให้ได้ดีแล้วนั้น งานประจำ คุณจะอยู่ระดับผู้บริหาร ค่าตอบแทนปีละหลักพันล้านบาท ใช่เลยครับ แถมเวลาทำงานที่แน่นอนนั้นก็ไม่ได้ยาวนาน วันนึงไม่กี่ชั่วโมง งานฟรีแลนซ์ คุณจะสามารถเลือกงานทำได้ ปีนึงอาจทำสักงานสองงาน แล้วเงินที่ได้มาอยู่ไปได้อีกหลายปี แถมงานแต่ละชิ้นที่ทำก็ติดโบว์แดง (ไม่แสลงใจ) ทั้งสิ้น งานเจ้าของกิจการ ธุรกิจก็จะรุ่ง ใหญ่โต…
พื้นที่ส่วนตัวสาธารณะ
นี่คือภาพจาก IG พี่แมร์ ขออนุญาตนำมาแปะนะครับ หลังจากกระแส “ฝากร้าน” ตามไอจีของดาราต่างๆมีกันมานาน ช่วงนี้เลยมีกระแส “งดฝากร้าน” เกิดขึ้น มีทั้งคนเห็นด้วยพร้อมเหตุผลว่านี่คือพื้นที่ส่วนตัวของเจ้าของไอจี และคนไม่เห็นด้วยพร้อมเหตุผลว่าเจ้าของไอจีเป็นบุคคลสาธารณะ ที่ตรงนี้ก็ถือเป็นที่สาธารณะ แล้วที่ตรงนี้ “ส่วนตัว” หรือ “สาธารณะ” กันแน่ คาดว่าทุกคนคงเคยไปสวนสาธารณะ หรืออย่างน้อยก็ต้องเคยผ่าน หรืออย่างน้อยๆก็ต้องรู้จักนะ โอเคมั้ย อะต่อ เราทำอะไรกันบ้างครับเวลาไปที่นั่น เดินเล่น ปิกนิก ทานอาหาร เล่นสเก๊ต พายเรือ ให้อาหารนก โยคะ ไทชิ ตีแบด วิ่ง ฯลฯ มากสุดที่ก้องคิดแล้วคิดอีกก่อนทำก็คือ ร้องเพลง (อัดคลิปด้วยนะ เพลงจากมารุโกะ https://www.youtube.com/watch?v=aIQKdo7qgJs) มีใครจะไปแก้ผ้าในสวนสาธารณะกันมั้ย สวนสาธารณะ ที่ดูเหมือนเราจะเข้าไปทำอะไรก็ได้ ดูเหมือนไม่มีเจ้าของ แท้จริงก็มีผู้ดูแล มีกฎ มีกติกาในการอยู่ร่วมกัน และที่เราสามารถทำกิจกรรมได้หลากหลายนั่นก็เพราะสวนเปิดกว้าง ยอมรับในกิจกรรมเหล่านั้น เนื่องจากไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้อื่นที่มาใช้บริการ ครั้งหนึ่งที่ยิมก้อง มีสมาชิกท่านหนึ่งพานักเรียนมาติวหนังสือตรงที่ที่ทางยิมจัดไว้ให้นั่งเล่น หลังจากสังเกตอยู่หลายครั้งก้องคิดว่านี่ไม่ใช่การติวเฉพาะกิจแบบเพื่อนติวกัน หรือน้าติวหลาน แต่คือการเปิดกิจการทำธุรกิจบนที่สาธารณะตรงนี้ ซึ่งก้องไม่เห็นด้วย…